วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2551

วัฒนธรรมและการพักผ่อนหย่อนใจ


ในปี 2006 กระทรวงวัฒนธรรมได้รับงบประมาณเป็นจำนวนเงิน 3 พันล้านยูโร ครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายกิจกรรมทางวัฒนธรรมซึ่งมีจำนวนถึง 13 พันล้านยูโร มาจากงบประมาณของรัฐบาลและอีกครึ่งหนึ่งมาจากงบประมาณขององค์กรในระดับท้องถิ่น


ในแต่ละปี ครอบครัวชาวฝรั่งเศสใช้จ่ายเงินเกี่ยวกับกิจกรรมทางวัฒนธรรม การบันเทิง กีฬาและการเล่นต่างๆ โดยเฉลี่ยเท่ากับ 1,385 ยูโร


หนังสือ


ในปี 2004 หนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์มีทั้งหมด 65,705 เรื่อง จำนวน 512 ล้านเล่ม เป็นการพิมพ์ครั้งแรก 30,926 เรื่องและพิมพ์ซ้ำ 37,779 เรื่อง




ในปีเดียวกัน ยอดจำหน่ายหนังสือของสำนักพิมพ์มีจำนวนทั้งสิ้น 388 ล้านเล่ม เป็นจำนวนเงิน 2.8 พันล้านยูโร


หนังสือพิมพ์


ชาวฝรั่งเศสร้อยละ 30 อ่านหนังสือพิมพ์รายวันทุกวัน ทั้งนี้มีหนังสือพิมพ์รายวันที่ออกจำหน่ายทั่วทั้งประเทศ 10 ฉบับและเฉพาะในระดับท้องถิ่นอีก 65 ฉบับ

ในแต่ละปี มียอดการพิมพ์จำหน่ายโดยรวม 4.7 พันล้านฉบับ


นิตยสาร


ในจำนวนนิตยสารที่มียอดจำหน่ายติด 100 อันดับแรก มี 6 ฉบับที่ยอดพิมพ์สูงกว่า 1 ล้านเล่ม และ 8 ฉบับที่มียอดพิมพ์สูงกว่า 5 แสนเล่ม




เมื่อเทียบจำนวนของนิตยสารที่ออกจำหน่ายกับจำนวนประชากร พบว่า ชาวฝรั่งเศสติดอันดับชาติที่ชอบอ่านนิตยสารมากที่สุดชาติหนึ่งในโลก (จำนวน 1,354 ฉบับต่อประชากร 1,000 คน)


โทรทัศน์


โทรทัศน์ถือเป็นการพักผ่อนหย่อนใจที่ชาวฝรั่งเศสนิยมมากที่สุด เวลาโดยเฉลี่ยที่หมดไปกับการดูโทรทัศน์เท่ากับ 3 ชั่วโมง 15 นาทีต่อคนต่อวัน

สถานีโทรทัศน์มีมากกว่า 180 ช่อง ในจำนวนนี้


85 สถานีที่มีการแพร่ภาพในระดับประเทศและดำเนินการโดยรัฐ ได้แก่ France 2, ช่อง France 3, France 4. France 5 (สถานีโทรทัศน์เพื่อการศึกษา) และ Arte (เสนอรายการทางวัฒนธรรมของฝรั่งเศสและเยอรมัน)
83 สถานีทีมีการแพร่ภาพระดับประเทศและดำเนินการโดยเอกชน ได้แก่ TF1, M6 และ Canal Plus (ซึ่งเป็นสถานีระบบบอกรับสมาชิก เฉพาะในฝรั่งเศสมีสมาชิกประมาณ 8 ล้านคนและ 6.7 ล้านคนเป็นสมาชิกจากส่วนอื่นๆของโลก)
8นอกจากนี้ ยังมีสถานีโทรทัศน์ระบบเคเบิลอีกกว่า 30 ช่องซึ่งดำเนินการทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น (ร้อยละ 45 ของครัวเรือนติดตั้งระบบเคเบิล)
8นอกจากนี้ ยังมีสถานีอีกมากมายซึ่งสามารถรับได้โดยการติดตั้งจานดาวเทียม (Canal Satellite, TPS ฯลฯ)
8TV5 และ Canal France International (CFI) เป็นสถานีโทรทัศน์ซึ่งแพร่ภาพไปยังต่างประเทศ ปี 2006 จะมีการเปิดสถานีข่าว CII ซึ่งแพร่ภาพไปทั่วโลก (ลักษณะเดียวกับ BBC และ CNN)


ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.tv5.org


วิทยุ


บริษัท Radio France เป็นบริษัทที่รวมกลุ่มสถานีวิทยุที่เป็นของรัฐ ได้แก่ France Inter, France Info (เป็นสถานีข่าว 24 ชั่วโมง) France Culture, Radio Bleue และ FIP




ส่วนสถานีที่ดำเนินการโดยภาคเอกชนประกอบไปด้วย RTL (สถานีวิทยุที่มีผู้ฟังมากที่สุดของฝรั่งเศส) Europe 1, Radio Monte Carlo และสถานีอื่นๆอีกมากมายที่เสนอทั้งเรื่องราวทั่วๆไปและที่เน้นไปทางด้านใดด้านหนึ่ง เช่น สถานีที่มีแต่รายการดนตรี หรือนำเสนอสาระความรู้ บริการสาธารณะและบริการท้องถิ่น สถานีทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นสถานีกระจายเสียงในระบบเอฟเอ็ม




สำหรับสถานีที่มีกำลังส่งไปยังประเทศอื่นๆนอกฝรั่งเศส ได้แก่ สถานี Radio France Internationale (มีผู้ฟังประมาณ 30 ล้านคนทั่วโลก) และ RMC-Moyen-Orient ส่งกระจายเสียงไปยังประเทศต่างๆในตะวันออกกลาง ส่วนสถานี MEDI 1 เน้นไปยังผู้ฟังใน 3 ประเทศทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา (อัลจีเรีย ตูนีเซียและโมร็อกโก)


ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.rfi.fr


สารสนเทศและมัลติมีเดีย


แม้ว่าร้อยละ 80 ของคนฝรั่งเศสมองว่า คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สำหรับใช้ในการประกอบอาชีพมากกว่าจะใช้เพื่อการอื่น แต่ร้อยละ 50 ของครัวเรือนกลับมีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้ที่บ้าน

อินเทอร์เน็ตซึ่งถือเป็นรูปแบบใหม่ของการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันมีชาวฝรั่งเศสประมาณ 4 ล้านคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งที่โรงเรียน ที่ทำงานและที่บ้าน

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การใช้อินเทอร์เน็ตในฝรั่งเศสได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งองค์กร หนังสือพิมพ์รายวัน หน่วยงานของรัฐ บริษัท ต่างมีเว็บไซต์ของตนเองนำเสนอข้อมูลข่าวสารในหลายๆแง่มุม (กีฬา การศึกษา การบริการรูปแบบต่างๆ ภาพยนตร์…)


เว็บไซต์ประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดได้แก่ เว็บไซต์ซึ่งเป็นศูนย์รวมของเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลด้านต่างๆ เว็บไซต์ของบริษัทผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (เช่น เว็บไซต์ของ Wanadoo ของ France Telecom) และเว็บไซต์ที่เสนอการบริการในรูปแบบต่างๆ


ภาพยนตร์


ฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศผู้คิดค้นภาพยนตร์ขึ้นในโลกเมื่อปี 1895 ยังคงมีผลงานทางด้านนี้ออกมาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2004 มีการผลิตภาพยนตร์จำนวนทั้งสิ้น 219 เรื่อง (อันดับ 2 ของโลกในแง่ของการลงทุนทางด้านภาพยนตร์)


ร้อยละ 53 ของชาวฝรั่งเศสดูภาพยนตร์อย่างน้อย 1 เรื่องต่อปี ร้อยละ 32 ดูภาพยนตร์อย่างน้อย 1 เรื่องต่อเดือน ฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในประเทศที่มีโรงภาพยนตร์มากที่สุดในโลก รวมทั้งสิ้นมีจำนวน 5,300 โรงทั่วประเทศ 127 แห่งเป็นโรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์


ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.cnc.fr


ดนตรีและการเต้นรำ


ฝรั่งเศสมีนักแสดงละครและนักเต้นรำประมาณ 11,300 คนและศิลปินที่เป็นนักดนตรี นักร้องเพลงคลาสสิกอีก 16,200 คน ในแต่ละปีจะมีเทศกาลดนตรี โอเปร่าและการเต้นรำประมาณ 250 งาน นอกจากนี้ยังมีนักร้องเพลงสมัยใหม่อีก 8,700 คน




ในส่วนของศิลปินสมัครเล่นมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ได้มีการสอนทั้ง 2 สาขามากขึ้น (หากนับเฉพาะสาขาดนตรี สถาบันที่สอนมี 4,300 แห่ง)


การละคร


จำนวนผู้เข้าชมละครในแต่ละปีมีประมาณ 8 ล้านคนจากการแสดง 50,000 รอบ (ทั้งในโรงละครระดับประเทศ ศูนย์ศิลปะการละครระดับชาติ และโรงละครของเอกชน) ในฝรั่งเศสคณะละครอิสระซึ่งมีกว่าพันคณะจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้นิยมชมชอบศิลปะแขนงนี้นอกเหนือไปจากการแสดงตามโรงละครใหญ่ๆในกรุงปารีสและปริมณฑล รวมทั้งในเมืองใหญ่ต่างๆ และตามงานเทศกาลที่มีชื่อเสียง เช่น งานเทศกาลที่เมือง Avignon


พิพิธภัณฑ์และสถานที่ทางประวัติศาสตร์


ฝรั่งเศสมีพิพิธภัณฑ์ประมาณ 1,200 แห่งซึ่งสามารถดึงดูดผู้ชมได้หลายสิบล้านคนในแต่ละปี เฉพาะพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre) พระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles) และพิพิธภัณฑ์ออร์เซ่ (Musée d’Orsay) มีผู้เข้าชมมากกว่า 70 ล้านคนต่อปี




ตามเมืองต่างๆส่วนมากมักจะมีพิพิธภัณฑ์อย่างน้อยหนึ่งแห่งตั้งอยู่ ในส่วนของสถานที่ทางประวัติศาสตร์มีมากกว่า 2,400 แห่งที่เปิดให้สาธารณชนเข้าชม (8 ล้านคนต่อปี) ซึ่งรวมทั้งหอไอเฟล (Eiffel) ที่นับเป็นสถานที่ๆมีผู้เข้าชมมากที่สุด (6 ล้านคนต่อปี) นอกจากนี้ ยังมีอาคารอีก 41,800 แห่งที่ได้รับการอนุรักษ์ให้ป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และอยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงวัฒนธรรม


ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.culture.gouv.fr


กีฬา


การเล่นกีฬามีการพัฒนาขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จำนวนสมาชิกสังกัดสมาคมกีฬาต่างๆ มีเกือบ 10 ล้านคน เทนนิสและฟุตบอลเป็นสมาคมที่มีสมาชิกมากที่สุด ส่วนยูโด เปตอง ขี่ม้า แบดมินตันและกอล์ฟเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้กีฬาประเภทการค้นหาและการผจญภัย เช่น จักรยานวิบาก การเดินป่า การปีนเขา การเล่นเครื่องร่อน การพายเรือแคนูและคายัก ก็มีผู้นิยมเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน




ทราบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.jeunesse-sports.gouv.fr


งานนิทรรศการและงานเทศกาลต่างๆ


ชาวฝรั่งเศสชอบเข้าร่วมและมีส่วนร่วมในงานเทศกาลทั้งทางวัฒนธรรมและบันเทิงที่มีการจัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนิทรรศการอินเทอร์เน็ต งานวันมรดกแห่งชาติ เทศกาลดนตรี งานเทศกาลส่งเสริมการอ่าน สัปดาห์วิทยาศาสตร์ ในแต่ละปี การจัดงานเหล่านี้จะได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง

8งานวันมรดกแห่งชาติจะเปิดให้เข้าชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่โดยปกติสาธารณชนไม่สามารถเข้าชมได้ (กระทรวงต่างๆ สถานทูต บริษัท ธนาคาร)
8ส่วนงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์มีจุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบถึงวิวัฒนาการของวิทยาศาสตร์และบทบาทของวิทยาศาสตร์ที่มีต่อสังคม
8ในส่วนของงานนิทรรศการหนังสือและการส่งเสริมการอ่าน จะเป็นในรูปของการจัดให้มีการพบปะนักเขียน จัดอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับวิธีการประพันธ์ การประกวดแต่งเรื่องสั้นและทำความรู้จักกับอาชีพที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ
8งานนิทรรศการอินเทอร์เน็ตเน้นให้สาธารณชนทราบถึงข้อได้เปรียบและเสียเปรียบของสังคมข้อมูลข่าวสาร


ความสำคัญทางเศรษฐกิจ


หน้าวัวจัดเป็นไม้ดอกเศรษฐกิจที่มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าไม้ตัดดอกชนิดอื่น ๆ ทั้งนี้เพราะว่าดอกมีสีสันสวยงาม สะดุดตา ก้านดอกยาว และแข็งแรงมีอายุการใช้งานนานกว่า 10 วัน เป็นที่นิยมของตลาด ต่างประเทศ จากการสำรวจพบว่าหน้าวัวเป็นไม้ตัดดอกที่ทำรายได้สูงสุด คือ 140,000 บาท/ไร่/ปี รองลงมาคือ เบญจมาศ 72,924 ดอก/ไร่ จะขายกันประมาณดอกละ 2 บาท ซึ่งจะเห็นว่าหน้าวัวเป็นไม้ตัดดอก อีกชนิดหนึ่งที่ทำรายได้ สูงทีเดียว ถึงปีแรกจะเสียค่าต้นพันธุ์สูงแต่ในปีต่อไปจะลดลง จึงทำให้การผลิตหน้าวัวคุ้มค่าต่อการลงทุน


แต่อย่างไรก็ตามยังสามารถลดต้นทุนการผลิตเกี่ยวกับโรงเรือนได้ในบางพื้นที่ เช่น การปลูกแซมในสวนยางพารา ในภาคใต้ หรือแซมในป่าสนสองใบ ในจังหวัดภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงราย

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์


ดอกหน้าวัวเกิดจากตาเหนือก้านใบประกอบด้วยปลี (ช่อดอก) และจานรองดอก ซึ่งมีลักษณะคล้ายใบติดอยู่ที่โคนปลี แต่มีสีสันสวยงามสะดุดตา จึงทำให้คิดว่าจานรองดอกคือดอกของหน้าวัว ลักษณะของจาน รองดอกมักมีส่วนยาวมากกว่าส่วนกว้างและจานรองดอกจะมีขนาดเล็กใหญ่ขึ้นกับขนาดของต้น ชนิดของพันธุ์และการเลี้ยงดู นอกจากความสวยงามของจานรองดอกด้วย ซึ่งเรียกว่า "ร่องน้ำตา" ในเมืองไทย มักนิยมร่องน้ำตาลึก ๆ เช่น พันธุ์ดวงสมร แต่ในต่างประเทศมักต้องการจานรองดอกที่ค่อนข้างเรียบ จานรองดอกที่ดีควรมีลักษณะเป็นรูปหัวใจและได้สัดส่วนกันจากโคนมาถึงปลาย ด้านซ้ายและขวา จะต้อง เท่ากันโดยไม่มีรอยแหว่งเว้าของด้านใดด้านหนึ่ง ความหนาของจานรองดอกไม่บางเกินไป ในเมืองไทยนิยมให้โคนของจานรองดอกตั้ง หรือที่เรียกว่า "หูแนบ" แต่ในต่างประเทศไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญ


ส่วนช่อดอกของหน้าวัวหรือที่เรียกว่า ปลี คือ ส่วนที่เป็นดอกจริง ซึ่งประกอบด้วย ก้านช่อ ซึ่งมีดอกย่อยเล็กเรียงอัดแน่นอยู่บนปลี ดอกย่อยนี้เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ที่มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย อยู่ในดอกเดียวกัน ดอกที่อยู่บนก้านดอกนี้จะมีสีต่าง ๆ เมื่อจานรองดอกคลี่ปลีออกจะมีสีเหลืองอ่อน หรือสีปนแดง แล้วแต่ชนิพันธุ์ เมื่อจานรองดอกบานเต็มที่ ดอกที่อยู่โคนปลีจะเปลี่ยนเป็นสีขาว ไล่ไปปลายปลี ลักษณะเช่นนี้ แสดงว่า ดอกบาน และเมื่อตุ่มยอดเกสรตัวเมียเริ่มมีน้ำเหนียว ๆ แสดงว่าดอกนั้นพร้อมที่จะผสมเกสรตัวผู้จะบานภายหลังเกสรตัวเมีย ดังนั้นหน้าวัวส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีโอกาสผสมตัวเอง ยกเว้นบางพันธุ์เท่านั้น นอกจาก นี้เกสรตัวผู้ของหน้าวัวลูกผสมส่วนใหญ่ จะมีเกสรตัวผู้ฟุ้งเมื่ออุณหภูมิเย็น ดังนั้นโอกาสที่ผสมพันธุ์ในกรุงเทพฯ จึงมีช่วงระยะเวลาจำกัด ซึ่งโดยมากมักจะผสมในช่วงฤดูหนาว

พันธุ์


หน้าวัวมี 2 ชนิดใหญ่ ๆ และแต่ละชนิดก็มีหลายพันธุ์ คือ


1. Anthurium andraeanum ส่วนใหญ่ใช้ตัดดอก สามารถแบ่งได้ตามสี 4 สี คือ


- พันธุ์ที่มีจานรองดอกสีแดง ในเมืองไทยที่พบมีพันธุ์จักรพรรดิ ดวงสมร กรุงธน นครธน กษัตริ์ศึกธนบุรี บางกล จอมพล กรุงเทพฯ แดงนุกูล ดาราไทย ฯลฯ แต่พันธุ์ที่นิยมเป็นไม้ตัดดอกของเมืองไทย คือ ดวงสมร ลักษณะของพันธุ์นี้จะมีจานรองดอกเป็นสีแดงเข้ม เป็นมันสวยงาม เป็นรูปหัวใจ หูชิดเท่ากันสองด้าน ร่องน้ำตาย่นลึก ปลีมีสีเหลือง เมื่อแก่จะมีสีขาว

- พันธุ์ที่มีจานรองดอกสีส้ม ในประเทศไทยได้แก่ พันธุ์ผกามาศ ผกาทอง ตราทอง สุหรานากง โพธิ์ทอง ฯลฯ พันธุ์สีส้มนี้ พันธุ์ที่เป็นไม้ประกวด คือ สุหรานากง และโพธิ์ทอง ส่วนพันธุ์ที่น่าสนใจ คือ ดาราทอง ซึ่งมี หน่อมาก เหมาะที่จะปลูกเป็นไม้กระถาง

- พันธุ์ที่มีจานรองดอกสีชมพู ได้แก่ พันธุ์ศรีสง่า ศรียาตรา จักรเพชร ฯลฯ

- พันธุ์ที่มีจานรองดอกสีขาว ได้แก่ พันธุ์ขาวนายหวาน ขาวพระสังขศาสตร์ ขาวคุณหนู

พันธุ์ที่มีจานรองดอกสีอื่น ๆ มักไม่ค่อยพบเป็นไม้ตัดดอก เพราะมีจำนวนปลูกน้อยต้น ราคาค่อนข้างแพง


2. Anthurium schzerianum พันธุ์นี้มีจานรองดอกสีแตกต่างกัน แต่ไม่นิยมปลูกเลี้ยงในเมืองไทย เพราะต้องการความเย็นและความชื้นสูงกว่า anthurium andraeanum พันธุ์นี้ปลีงอ หรือเป็นเกลียวปลูกเป็นไม้ตัดดอก และไม้กระถาง


ในสหรัฐอเมริกา นิยมใช้หน้าวัวพันธุ์สีแดงและสีแดงอ่อนมาก คือประมาณ 80% ส่วน 20% เป็นสีชมพู และสีขาว ในประเทศฝรั่งเศสและสวิสเซอร์แลนด์ นิยมสีแดงและสีส้ม ปัจจุบันได้มีผู้พัฒนาวิธีการและเทคนิคใหม่ ๆ ในการปรับปรุงพันธุ์ เพื่อให้ได้พันธุ์ที่มีลักษณะดี และแปลกออกไป ด้วยวิธีการที่รวดเร็ว โดยใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อร่วมกับการอาบรังสี ให้หน้าวัสเกิดการกลายพันธุ์มากขึ้น

การขยายพันธุ์


1. การตัดยอด การขยายพันธุ์วิธีนี้เป็นที่นิยมกันมาก โดยทำเมื่อต้นสูงขึ้นจากระดับเครื่องปลูกและมีราก 2-3 ราก วิธีปฏิบัติควรทำการขยายพันธุ์แบบนี้เมื่อยอดที่จะถูกตัดนั้นมีรากยาวพอสมควร เพื่อให้ยอดที่ถูกตัด นั้นมีรายการพอสมควร เพื่อให้ยอดที่ถูกตัดเมื่อนำไปปลูก ตั้งตัวและเจริญเติบโตเร็วไม่ชะงักการเจริญเติบโตนานเกินไป เพราะรากสามารถยึดเกาะติดกับเครื่องปลูกเพื่อพยุงลำต้น และหาอาหารให้กับหน้าวัวได้เลย การตัดแบบนี้ควรเหลือใบไว้ที่ต้นตอเดิมประมาณ 1-2 ใบ เป็นอย่างน้อย เพื่อให้ได้เกิดหน่อใหม่ได้เร็ว และมีหน่อสมบูรณ์ ถ้าตอไม่มีใบเหลืออยู่จะเกิดหน่อมาก แต่การเจริญเติบโตช้ามาก การตัดยอดไปปลูกนี้ควร ทายากันราที่รอยแผลที่ถูกตัดทั้งยอดและตอเพื่อป้องกันไม่ให้ราเข้าทำลายได้


มีผลการทดลองที่ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งทำการตัดยอดหน้าวัวโดยไม่มีรากติดกับยอดนำไปชำในเครื่องปลูกที่เก็บรักษาความชื้นมากและกระชังกับต้น เช่น ใช้ขี้เถ้าแกลบหรือ ขี้เถ้าแกลบผสมกับทราย 1 : 1 เป็นต้น ซึ่งเมื่อนำไปชำแล้วประมาณ 2 เดือน ยอดจะมีรากและสามารถนำไปปลูกต่อไปได้


2. การแยกหน่อ หน้าวัวบางพันธุ์มีหน่อมาก เช่น พันธุ์ดาราทอง หรือหน่อที่เกิดจากตอเดิมที่ถูกตัดยอดไป เมื่อหน่อเหล่านี้มีรากมาก ก็ดึงหน่อนำไปปลูกขยายพันธุ์ต่อไปได้เช่นกัน


3. การตัดต้นชำ หน้าวัวบางพันธุ์ไม่ได้ขยายพันธุ์โดยการตัดยอดนานเข้าหน้าวัวจะเจริญเติบโตเรื่อย ๆ ทำให้ลำต้นยาว หลังจากถูกตัดหน่อไปปลูกแล้ว ก็มีลำต้นเหลืออย่างมาก ก็อาจจะขยายพันธุ์ได้อีก โดยการตัดต้น ที่ยาวนี้เป็นท่อน ๆ แต่ละท่อนจะมีข้อประมาณ 2-3 ข้อ นำท่อนพันธุ์ไปใช้ชำในทรายหรืออิฐทุบก้อนเล็ก ๆ ที่ขึ้นอยู่เสมอ จะเกิดต้นใหม่ขึ้นมาตามข้อหรือปล้องนั้น เมื่อต้นมีรากก็แยกไปปลูกต่อไป


4. การขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นวิธีการที่สามารถผลิตหน้าวัวได้เป็นจำนวนมากในระยะเวลาที่สั้น แต่จะมีปัญหาอยู่คือการทำความสะอาดชิ้นส่วนของหน้าวัวทำได้ยาก เพราะหน้าวัวเป็นพืชที่ชอบความชื้น ฉะนั้นจึงทำให้มีทั้งเชื้อราและแบคทีเรียตามต้นพันธุ์มาก แต่เมื่อได้เนื้อเยื่อที่ปลอดเชื้อและยังมีชีวิตอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตต่อไป เมื่อมีต้นอ่อนเจริญเติบโตในหลอดอาหารและเมื่อโตเพียงพอก็ย้ายออกจาก หลอดนำไปปลูกเลี้ยงในโรงเรือนที่ชื้นสม่ำเสมอในะระยนี้ต้องมีเวลาในการดูแลเอาใจใส่มิฉะนั้นต้นจะตายง่ายโดยเฉพาะถ้าขาดความชื้น


5. การขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ใช้สำหรับการปรับปรุงพันธุ์เท่านั้น เพื่อให้ได้พันธุ์ใหม่มีลักษณะดีกว่าพันธุ์เดิม ในประเทศไทยปกติสภาพของกรุงเทพฯ การบานของเกสรตัวผู้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ซึ่งมักจะมีละอองเกสรเฉพาะ ช่วงฤดูหนาว โดยเฉพาะต้นพันธุ์ที่ดี ส่วนพันธุ์ป่าโดยมากบานเกือบทั้งปี แต่มีโอกาสที่หน้าวัวจะติดเมล็ดเองมีน้อย เพราะเกสรตัวผู้และตัวเมียบานไม่พร้อมกัน โดยมากเกสรตัวเมียบานแล้ว จึงมีละอองเกสรตัวผู้จะสังเกต เห็นละอองเกสรตัวผู้จะบานไล่จากโคนปลี ไปหาปลายปีหน้าวัวมีน้ำเหนียวเป็นเงาเอามือแตะดูจะรู้สึกเหนียว ๆ แสดงว่าเกสรตัวเมียพร้อมที่จะผสมแล้วจึงเอามือหรือพู่กันขึ้น ๆ แตะบนละอองเกสรตัวผู้ มาป้ายบนยอดเกสร ตัวเมีย ซึ่งจะบานไล่จากโคนไปด้านปลายปลีเช่นกัน หลังจากผสมแล้วถ้าผสมติดจะสังเกตเห็นว่าปลีบวม เพราะรังไข่เจริญขึ้นเรื่อย ๆ เป็นตุ่มและเปลี่ยนเป็นสีเขียวเมื่อแก่จะเป็นสีเหลือง และถ้าแก่เต็มที่ผลจะหลุดออกจากปลี ผลหนึ่งมีเมล็ด 1-3 เมล็ด ระยะเวลาตั้งแต่ผสมจนถึงเมล็ดแก่ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน เมื่อเมล็ดแก่ก็นำมาเพาะต่อไป


การเพาะเมล็ดควรเตรียมวัสดุให้พร้อมคือ อิฐละเอียดที่มีขนาด 0.3-0.6 เซนติเมตร ร่อนให้สะอาดแช่น้ำให้ชุ่มชื้น นำใส่กระถางที่วางบนจานรองมีน้ำสะอาดต่อไป นำเมล็ดที่ล้างเอาเมือกออกหมดแล้วโรยบนอิฐให้ทั่วใช้ กระจกปิดปากกระถางเพื่อรักษาความชื้น เมล็ดหน้าวัวจะงออภายใน 4-5 ใบ ย้ายลงกระถางใหม่เตรียมอิฐที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้เครื่องปลูกโปร่งขึ้น


การเพาะเลี้ยงเมล็ดนี้จะเสียเวลารอเมล็ดแก่นาน จึงมีการเพาะเลี้ยง embryo (embryo culture) คือเมื่อผสมติดแล้วประมาณ 2-3 เดือน นำเมล็ดผ่าเอา embryo มาเลี้ยงในหลอดทำให้ได้ลูกผสมในระยะเวลาสั้นขึ้น การเพาะเลี้ยงแบบนี้ได้ต้นโตเร็ว และได้จำนวนมากภายในเวลา 2 เดือน ก็สามารถนำต้นออกมาเลี้ยงนอกหลอดทดลองได้แล้ว แต่ต้องดูแลเป็นพิเศษเช่นเดียวกับต้นอ่อน